การทำความเข้าใจกับการทำงานของรูรับแสง ความเร็วชัตเตอร์ และ ISO ทำให้ช่างภาพสามารถควบคุมฉากได้อย่างสมบูรณ์โดยการปรับกล้องด้วยตนเอง

รูรับแสง

รูรับแสงคือช่องที่อยู่ในเลนส์ ซึ่งจะเป็นช่องทางให้แสงผ่านเข้าไปในตัวกล้องได้ เมื่อรูมีขนาดใหญ่ แสงก็จะสามารถผ่านเข้าไปยังเซ็นเซอร์กล้องได้มากขึ้น นอกจากนี้ รูรับแสงยังควบคุมระยะชัดหรือส่วนของฉากที่แสดงในภาพอย่างคมชัดด้วย

ความเร็วชัตเตอร์

ความเร็วชัตเตอร์หมายถึง ระยะเวลาที่ชัตเตอร์กล้องเปิดเพื่อให้แสงเข้าไปยังเซ็นเซอร์กล้อง โดยมักจะวัดเป็นเศษส่วนของวินาทีเมื่อค่าที่ได้น้อยกว่าวินาที

ISO

ISO คือความไวต่อแสงของกล้อง ค่านี้จะทำให้ภาพของคุณสว่างขึ้นถ้าคุณไม่สามารถเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ให้สูงขึ้นหรือขยายรูรับแสงให้กว้างขึ้นได้ โดยปกติจะวัดค่านี้เป็นตัวเลข

ฟังก์ชันชัตเตอร์ รูรับแสง และ ISO ของกล้องจะรวมกันเป็น ‘3 ปัจจัยในการรับแสง (Exposure Triangle)’ และการเปลี่ยนแปลงค่าใดค่าหนึ่งจะส่งผลต่อการรับแสงของภาพ เมื่อทราบถึงความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ปัจจัยนี้แล้ว คุณจะสามารถควบคุมกล้องของคุณได้ดีขึ้นแม้ในสภาพแสงที่ไม่เป็นใจอย่างที่สุด

โหมด AUTO, MANUAL หรือ priority

คุณสามารถตั้งค่ากล้องเพื่อควบคุมฟังก์ชันทั้งสามในโหมด AUTO เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลกับการปรับค่าทุกอย่างแบบกะทันหัน หรืออาจเลือกฟังก์ชันหนึ่งที่คุณต้องการเน้นแล้วปล่อยให้กล้องปรับค่าของฟังก์ชันอื่น ๆ ที่เหลือให้โดยอัตโนมัติ หรือคุณจะเลือกควบคุมทั้งสามฟังก์ชันในโหมด MANUAL ก็ได้เช่นกัน

ชัตเตอร์ควบคุมการเคลื่อนไหว

โหมด S หรือ Shutter Priority ตามปกติจะอยู่ที่แป้นควบคุมหลัก  การปรับค่านี้จะเป็นการกำหนดระยะเวลาในการเปิดชัตเตอร์ค้างไว้ ซึ่งจะทำให้แสงสามารถผ่านเข้าไปยังเซ็นเซอร์ได้ ค่านี้จะวัดกันเป็นเศษส่วนของวินาที ดังนั้น การตั้งค่าไว้ที่ 160 จะเป็นการเปิดชัตเตอร์ไว้นาน 1/160 วินาที ในโหมด S คุณจะเลือกระยะเวลาในการเปิดชัตเตอร์ให้กับภาพแต่ละภาพ จากนั้น กล้องจะจัดการขั้นตอนอื่นที่เหลือเอง

วิธีนี้ช่วยให้คุณกำหนดจำนวนการเคลื่อนไหวที่ต้องการให้มีในภาพได้ เมื่อความเร็วชัตเตอร์ช้า วัตถุที่เคลื่อนที่ช้ากว่าชัตเตอร์จะเห็นเป็นภาพเบลอ เมื่อใช้ความเร็วชัตเตอร์ช้ากว่าปกติ ภาพของน้ำที่กำลังไหลจะดูเหมือนควันที่กำลังลอยอยู่ ในทางกลับกัน การตั้งค่าสูงจะเป็นการหยุดการเคลื่อนที่ เหมือนอย่างการหยุดเม็ดฝนไว้กลางอากาศ!

รูรับแสงคือโฟกัสของคุณ

ในโหมด A หรือ Aperture Priority คุณเป็นคนกำหนดขนาดของหน้าต่างที่แสงจะตกกระทบเซ็นเซอร์ ส่วนอื่น ๆ ที่เหลือกล้องจะจัดการให้คุณเอง ค่ารูรับแสงแต่ละระดับจะเรียกว่า F-stop           

รูรับแสงจะควบคุมระยะชัด หรือก็คือระยะของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในโฟกัส ให้คุณลองงอนิ้วเข้ามาแตะอุ้งมือเพื่อทำเป็นวงกลมแล้วมองผ่านรูที่ได้ เมื่อโฟกัสหรือจุดสนใจของคุณถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขตหนึ่ง ๆ สิ่งที่คุณมองเห็นจะคมชัดขึ้น นั่นคือค่า F-stop น้อย สำหรับการถ่ายภาพบุคคลในระยะใกล้ คุณจะต้องให้รูรับแสงเปิดกว้าง จึงควรใช้ค่า F2.8 หรือต่ำกว่านั้นจึงจะเหมาะสม หากต้องการเก็บภาพทิวทัศน์หรือกลุ่มคนแบบครบถ้วนทั้งหมด คุณจะต้องปรับรูรับแสงแคบ เหมือนการเอามือออกแล้วมองเห็นภาพได้ทั้งหมด โดยปกติแล้วค่า F-stop ที่ F8-F16 จะทำให้ได้ภาพชัดที่สุดอย่างที่คุณต้องการ แต่คุณสามารถทดลองใช้รูรับแสงใหญ่กว่านี้ได้จนกว่าจะเจอจุดที่คุณพอใจที่สุด

ISO ส่งผลต่อความไวแสง

การตั้งค่า ISO ต้องมีความคุ้นเคยสักเล็กน้อยก่อน เข้าไปที่เมนูกล้อง แล้วไปที่ การรับแสง/สี->การรับแสง-> ความไวแสง ISO คุณสามารถกำหนดปุ่มฟังก์ชันเพื่อช่วยให้เปลี่ยนค่าได้ง่ายขึ้นในภายหลังได้

การตั้งค่า ISO สูง จะทำให้ภาพถ่ายของคุณสว่างขึ้นเมื่อมีแสงรอบข้างน้อย  คุณอาจคิดว่าการตั้งค่าความไวสูงไว้ตลอดเวลาอาจไม่เป็นอะไร ถึงอย่างไรก็น่าจะทำให้การรับแสงเป็นไปโดยง่าย แม้ว่าจะเป็นความจริง แต่เมื่อใช้ค่า ISO สูง เซ็นเซอร์ในกล้องจะมีความไวต่อทุกสิ่งที่เข้ามาตกกระทบ และความไวมากเป็นพิเศษนี้จะทำให้เกิดเกรนหรือนอยส์ในภาพของคุณ คุณจะเห็นการสูญเสียรายละเอียดของภาพจากภาพตัวอย่างด้านบน

ค่า ISO ต่ำจะเหมาะกับการเก็บรายละเอียด แต่ก็ทำให้ภาพมีความสว่างพอเหมาะได้ยากเช่นกัน ค่าที่เหมาะกับการใช้งานโดยทั่วไปคือ 400 ค่าต่ำกว่านี้จนถึง 100 จะเหมาะกับวันที่มีแสงแดดจ้า หรือค่า 1600 ขึ้นไปสำหรับที่มืด

ออกไปแล้วใส่ความสดใสให้กับทุกสิ่ง

ไม่มีครูใดจะดีไปกว่าประสบการณ์อีกแล้ว ไม่ว่าคุณจะชอบถ่ายภาพอะไร จะเป็นภาพของอาคาร รูปภาพ ผู้คน หรืออาหาร ล้วนต้องอาศัยการตั้งค่าแบบรวมที่เหมาะสมของ 3 ปัจจัยในการรับแสงทั้งสิ้น คุณจะได้จดจำและเรียนรู้วิธีการปรับเปลี่ยนค่าตามสถานการณ์ในระหว่างการถ่ายภาพ ด้านล่างนี้คือแผนภูมิด่วนที่จะช่วยให้คุณมีไอเดียในการควบคุมรูรับแสง ชัตเตอร์ และ ISO