การทดสอบภาคสนามเลนส์ 400 มม. f/2.8 G Master จากโซนี่: หมีขั้วโลกแห่งเชอร์ชิล
จากที่กล่าวมา ผมตั้งตารอที่จะใช้เลนส์ 400 มม. f/2.8 G Master จากโซนี่ ในความเห็นของผม นี่เป็นเลนส์สำหรับการถ่ายภาพเหตุการณ์รอบโลก นับว่าเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับไพรม์เลนส์ระยะไกลพิเศษที่ควรจะเป็น โดยเลนส์นี้มีน้ำหนักน้อยกว่าค่ายคู่แข่งหนึ่งกิโลกรัม มีการกระจายน้ำหนักที่ดีกว่า มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวสามโหมด มีระบบโฟกัสที่เร็วที่สุด และยังมีข้อดีอีกมากมาย ผมรู้ว่าเลนส์นี้จะเป็นตัวเปลี่ยนเกม และผมอดใจรอไม่ไหวที่จะเอาเลนส์นี้ออกไปทดสอบใช้งานจริงในการถ่ายภาพโลกของเรา
"สำหรับผมแล้วมีทางเดียวที่จะสัมผัสความรู้สึกที่แท้จริงสำหรับอุปกรณ์ชิ้นใหม่นี้คือการนำไปใช้งานในป่า ซึ่งมีทั้งสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย วัตถุเคลื่อนที่เร็ว และความรู้สึกท้อแท้ว่านี่อาจเป็นโอกาสการถ่ายภาพครั้งเดียวในชีวิต" -เนท ลูบเบอร์ (@nateinthewild)
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะเดินออกไปในละแวกนี้เพื่อถ่ายนกนางนวลสักสองสามภาพแล้วก็กลับบ้าน แต่สำหรับผมแล้วมีทางเดียวที่จะสัมผัสความรู้สึกที่แท้จริงสำหรับอุปกรณ์ชิ้นใหม่นี้คือการนำไปใช้งานในป่า ซึ่งมีทั้งสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย วัตถุเคลื่อนที่เร็ว และความรู้สึกท้อแท้ว่านี่อาจเป็นโอกาสการถ่ายภาพครั้งเดียวในชีวิต ผมยังตัดสินอุปกรณ์ชิ้นใหม่นี้ไม่ได้จนกว่าจะได้เจอกับสภาพแวดล้อมการถ่ายภาพที่หลากหลายและนำมาปรับใช้กับการบิน ผมจึงวางแผนมุ่งหน้าไปยังเชอร์ชิลในแมนิโทบาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าภายใต้สภาพแวดล้อมที่รุนแรงใกล้กับเส้นอาร์กติก ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เลือดสูบฉีดไปกว่าการยืนอยู่บนระดับพื้นดินกับหมีขั้วโลก ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุดบนบก ขณะเดียวกันก็มีแรงกดดันจากกำหนดการส่งข่าวที่ใกล้เข้ามา จะพูดว่าอะไรดี ผมทำงานภายใต้แรงกดดันได้ดีกว่า
หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดของการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าคือการพยายามสื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมของสัตว์ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากมากถ้าถ่ายภาพจากบนแคร่ยกสูงหรือในห้องรั้วรอบขอบชิด ถ้าต้องการถ่ายภาพหมีขั้วโลกตามธรรมชาติอย่างแท้จริง ช่างภาพต้องยืนอยู่บนพื้นระดับเดียวกับสัตว์แบบตาจ้องตาระหว่างที่สัตว์กำลังใช้ชีวิตประจำวัน นับว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายมากในการหาคนที่เต็มใจไปเดินเขาเป็นเวลาหลายวันในประเทศที่มีหมีขั้วโลกในช่วงฤดูหาอาหาร และมีบริษัทนำเที่ยวเพียงแห่งเดียวในแมนิโทบาที่มอบประสบการณ์ในระดับพื้นดิน ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่าในเชอร์ชิลยินดีตกลงร่วมงานนี้กับผมที่ซีล ริเวอร์ เฮอริเทจ ลอดจ์ บริเวณริมชายหาดของอ่าวฮัดสัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่แรกๆ ที่มหาสมุทรจะกลายเป็นน้ำแข็งทุกๆ ปี ลองนึกภาพหมีขั้วโลกที่ตื่นเต้นที่จะออกไปเดินบนทะเลน้ำแข็งเพื่อหาอาหาร สถานที่นี้เป็นที่รู้จักในชื่อถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ของหมีขั้วโลก ซึ่งเป็นจุดขายอันยอดเยี่ยมสำหรับการสำรวจครั้งนี้
อุปกรณ์
ถึงแม้จะเป็นที่พูดกันอย่างหนาหูว่า α9 จากโซนี่เป็นตัวกล้องที่เหมาะกับการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่ามากที่สุด แต่ผมเลือกที่จะใช้ α7R III จากโซนี่สำหรับการเดินทางครั้งนี้ด้วยเหตุผลสามข้อ:
หมีขั้วโลกในช่วงฤดูใบไม้ร่วงขึ้นชื่อว่าเป็นจอมขี้เกียจ จึงไม่จำเป็นต้องใช้การถ่ายภาพต่อเนื่อง 20 เฟรมต่อวินาที
เนื่องจากผมตั้งใจจำกัดการใช้ไพรม์เลนส์เพียงตัวเดียว ผมตัดสินใจว่าคงจะดีที่สุดถ้าถ่ายภาพวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าเฟรม และจะช่วยให้เหลือพื้นที่เล็กน้อยสำหรับตัดส่วนภาพในภายหลัง กล้อง α7R III มีความละเอียด 42 ล้านพิกเซล จึงทำให้ผมมีตัวเลือกมากมายสำหรับการโพสต์โปรเซส
หมีขั้วโลกมีสีขาว หิมะมีสีขาว สุนัขจิ้งจอกอาร์กติกมีสีขาว กระต่ายป่าอาร์กติกก็มีสีขาว ด้วยวัตถุที่มีสีขาวเคลื่อนที่บนฉากหลังสีขาวทั้งหมดนี้ ผมพบว่ากล้องที่มีจำนวนพิกเซลสูงอย่าง α7R III มีความคมชัดมากพอที่จะช่วยแยกความแตกต่างระหว่างวัตถุกับฉากหลังได้
การเตรียมการตั้งค่า
เลนส์ 400 มม. f/2.8 G Master มีตัวเลือกการปรับแต่งมากมาย ซึ่งตัวเลือกทั้งหมดนั้นหาอ่านได้ทั่วไปจากบล็อกการถ่ายภาพนับพันทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ดังนั้น ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายทุกตัวเลือก แต่ผมจะให้ความสำคัญกับตัวเลือกที่ผมคิดว่ามีโยชน์ที่สุด ได้แก่
ระยะโฟกัส
การสลับระยะโฟกัสมีสามการตั้งค่า:
7 ม. - ∞
7 ม. - 2.7 ม.
สูงสุด (2.7 ม. -∞)
ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะการที่ให้เลนส์ค้นหาช่วงโฟกัสเองทั้งหมดตั้งแต่ 2.7 ม. จนถึงระยะอนันต์นั้นจะไร้ประสิทธิภาพ และอาจทำให้พลาดการถ่ายภาพ หากเลือกช่วงของวัตถุที่คาดหวัง การค้นหาโฟกัสและล็อกไว้ที่วัตถุจะทำได้รวดเร็วกว่า ซึ่งช่วยรักษาเฟรมได้มากขึ้นและทำให้ชุดภาพถ่ายมีผลลัพธ์ออกมาดียิ่งขึ้น เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้คือการถ่ายภาพเครื่องจักรสังหารขนาด 1,500 ปอนด์ที่มีกรงเล็บคมราวกับมีด ผมจึงตั้งค่าเลนส์ไว้ที่ระยะ 7 ม. - ∞ ตามปกติ เพราะถ้าผมเห็นว่าหมีขั้วโลกเข้าใกล้กล้องมากกว่า 7 เมตร ผมคงต้องหนีเอาตัวรอดมากกว่าที่จะมัวหาล็อกโฟกัส
DMF (Direct Manual Focus - โฟกัสแมนนวลโดยตรง) แบบเต็มเวลา
หนึ่งในคุณสมบัติที่เด่นที่สุดของเลนส์นี้คือความสามารถในการปรับจุดโฟกัสแบบละเอียด เนื่องจากวงแหวนโฟกัสไม่มีการปิด AF แบบแมนนวล (ไม่ว่าจะที่ตัวเลนส์หรือตัวกล้อง) คุณสมบัตินี้จะช่วยให้โฟกัสอัตโนมัติของกล้องระบุวัตถุด้วยตัวเอง (บ่อยครั้งจะเป็นจมูกสีดำของหมี เนื่องจากจะสังเกตเห็นได้ง่ายในพื้นหลังสีขาว) จากนั้นหมุนวงแหวนเพื่อปรับโฟกัสแบบละเอียดไปที่ดวงตา ผมเปิดใช้คุณสมบัตินี้ตั้งแต่วันแรกที่อยู่ในเชอร์ชิล แล้วก็ไม่เคยปิดใช้งานเลยตลอดทั้งการเดินทาง โฟกัสอัตโนมัติจะยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องจนกว่าคุณจะหมุนวงแหวนโฟกัส จากนั้นกล้องและเลนส์จะให้อิสระในการควบคุมอย่างเต็มที่
ระบบป้องกันภาพสั่นไหว
เนื่องจากเราไม่อาจรู้ล่วงหน้าว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ผมจึงเลือกที่จะไม่ใช้ขาตั้งกล้องในช่วงสองสามวันสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ และเปลี่ยนไปใช้วิธีการถ่ายภาพด้วยมือแทนเพื่อลดเวลาในการเตรียมตัว การถ่ายภาพด้วยมือกับเลนส์ 400 มม. นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมกลับทำได้สบายๆ เนื่องจากการออกแบบเลนส์สำหรับกล้องมิเรอร์เลสจากโซนี่ที่มีน้ำหนักลดลง จึงทำให้จุดสมดุลของเลนส์ 400 มม. มีความใกล้เคียงกับตัวกล้องมากกว่าเลนส์ 400 มม. ของกล้อง DSLR อีกทั้งเลนส์ยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวอันทรงพลังที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและความอเนกประสงค์อย่างสูง ผมมีภาพถ่ายที่พร่ามัวเพียงไม่กี่ภาพในแคตตาล็อก ซึ่งเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของวัตถุมากกว่าระบบป้องกันการสั่นไหว
โหมดระบบป้องกันภาพสั่นไหว
ป้องกันการสั่นไหวเต็มรูปแบบ
ระบบป้องกันการสั่นไหวสำหรับการถ่ายภาพแบบแพนกล้องและวัตถุที่เคลื่อนที่เข้าเฟรมทางด้านข้าง
วิธีการขั้นสูงเพื่อให้ได้ระบบป้องกันการสั่นไหวที่ดีที่สุดสำหรับวัตถุที่มีไดนามิก, ไม่อยู่นิ่ง, และมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว
ทั้งสามโหมดนี้มีจุดเด่นเป็นของตัวเอง ดังนั้นผมจะไม่พูดถึงข้อดีของแต่ละโหมด แต่ที่สำคัญคือผมพบว่าโหมดที่สามมีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับการถ่ายภาพด้วยมือกับวัตถุที่ไม่อยู่นิ่ง ผมโชคดีที่ถ่ายภาพกระต่ายป่าอาร์กติกที่วิ่งผ่านผมอย่างรวดเร็วได้ทัน ด้วยสวิตช์ Optical Steady Shot ที่ตั้งค่าไว้เป็นโหมดที่สอง (สำหรับการแพน) กล้องและเลนส์ไม่เพียงแต่ล็อกโฟกัสที่สมบูรณ์แบบที่กระต่ายป่า แต่กลไกระบบป้องกันการสั่นไหวของเลนส์ยังช่วยให้ภาพทุกๆ เฟรมมีความคมชัดสูงสุด
มองแวบแรกอาจดูไม่ค่อยน่าประทับใจนักเมื่อพูดถึงการถ่ายภาพกระต่ายที่กระโดดไปมาบนหิมะ แต่อย่าลืมว่านี่เป็นการถ่ายภาพด้วยมือในที่โล่งด้วย f/2.8 โดยที่วัตถุมีสีขาวบนฉากหลังสีขาว ซึ่งกระต่ายป่าอาร์กติกมีขนาดเล็กกว่าลูกฟุตบอลและวิ่งด้วยความเร็วเกือบ 40 ไมล์ต่อชั่วโมง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปฏิวัติองค์ประกอบการโฟกัสในเลนส์ G Master นี้ ซึ่งมีความเร็วโฟกัสมากกว่าระบบโฟกัสแบบหมุนที่พบได้ทั่วไปในเลนส์ DSLR เกือบห้าเท่า หากต้องการถ่ายภาพสัตว์ป่าที่รวดเร็ว กลไกการโฟกัสที่รวดเร็วทันใจเหล่านี้คือสิ่งที่ขาดไม่ได้
ระยะเข้าถึงที่เหนือชั้น
ก่อนหน้านี้ผมบอกว่าผมถ่ายภาพด้วยไพรม์เลนส์เพียงตัวเดียว แต่ผมจะจำกัดการใช้ Teleconverter 1.4X และ 2.0X จากโซนี่ การถ่ายภาพด้วยไพรม์เลนส์ระยะไกลอาจทำให้รู้สึกว่ามีข้อจำกัดเล็กน้อย แต่ผมสามารถเปลี่ยนจากระยะ 400 มม. f/2.8 เป็น 560 มม. f/4.0 หรือ 800 มม. f/5.6 ได้ในพริบตา โดยไม่สูญเสียความคมชัด คอนทราสต์ หรือการเรนเดอร์สี ผมรู้สึกว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับวัตถุที่เคลื่อนที่เข้าหาผม (อย่างช้าๆ) จึงช่วยให้เปลี่ยนจากการถ่ายภาพมุมกว้างที่เห็นสภาพแวดล้อมของทิวทัศน์เป็นการถ่ายภาพบุคคลสำหรับใบหน้าและลำตัวของสัตว์อันสวยงาม แน่นอนว่า Teleconverter จะจำกัดค่ารูรับแสงสูงสุด ซึ่งมักจะเป็นอุปสรรคสำคัญ แต่เนื่องด้วยเลนส์นี้มีค่า f/2.8 แม้การรวมแสงที่น้อยลงจากการใช้ Teleconverter นั้นก็เพียงพอสำหรับสถานการณ์การถ่ายภาพที่เหมาะสม
เนื่องจากเวลาทั้งหมดที่ผมอยู่ในเชอร์ชิลไวลด์นั้นใช้ไปกับการเดินสำรวจบนที่ราบน้ำแข็ง ด้วยเลนส์น้ำหนักเบา 400 มม. f/2.8 G Master + α7R III จากโซนี่ (น้ำหนักเบากว่า DSLR ทั่วไปถึงสี่ปอนด์) ทำให้ผมไร้ความเมื่อยล้าในการเดินทาง การนำ Teleconverter ติดตัวมาด้วยจะช่วยขยายระยะเข้าถึงโดยไม่ต้องใช้เลนส์ตัวที่สอง จึงทำให้ผมมีสัมภาระน้อยลงและช่วยให้เราเดินทางได้ไกลขึ้นกว่าเดิมอย่างมากในแต่ละวัน นับว่าเป็นรางวัลพิเศษชิ้นใหญ่สำหรับการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าหายากในที่ราบกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้
สิ่งสำคัญคือต้องใช้เลนส์พรีเมียมสำหรับงานใหญ่ๆ แน่นอนว่าราคาก็ต้องสูงไปตามคุณภาพ คุณกำลังจ่ายเงินเพื่อเลนส์ 400 มม. f/2.8 ที่น้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่เคยผลิตมา ด้วยองค์ประกอบภายในที่มีสมดุลอย่างยอดเยี่ยม เป็นการปฏิวัติที่มุ่งเน้นระบบกลไกและชิ้นกระจกซึ่งออกแบบมาเพื่อการถ่ายภาพที่คมชัดไร้ที่ติมากที่สุดดังจินตนาการ การถ่ายภาพของ α7R III ร่วมกับเลนส์นี้จะทำงานเป็นหนึ่งเดียวกับเซนเซอร์ 42.4 ล้านพิกเซลอย่างไร้ปัญหา และแน่นอนว่าโซนี่สร้างเลนส์ 400 มม. G Master มาเพื่อเป็นการลงทุนระยะยาว เนื่องจากโซนี่เป็นผู้ผลิตเซนเซอร์ชั้นนำของโลก จึงสามารถออกแบบเลนส์สำหรับการพัฒนาเซนเซอร์ในปัจจุบันและอนาคต ผมมั่นใจว่าไม่ว่าในอนาคตจะมีจำนวนพิกเซลเท่าไหร่ หรือมีความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องเท่าใด เลนส์นี้ก็ยังสามารถใช้งานได้
ดูภาพถ่ายอื่นๆ จากเนท ลูบเบอร์ได้ที่
บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกใน alphauniverse.com